ยินดีต้อนรับ

abczaa...ความซ่า...ไม่มีขีดจำกัด...แหล่งรวมไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของคนรุ่นใหม่ ยินดีต้อนรับทุกท่าน ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม...^o^

การเลือกซื้อกล้องดิจิตอล

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ก่อนจะซื้อกล้องดิจิตอล ควรต้องทราบก่อนว่า กล้องดิจิตอลมีกี่ประเภท? และแต่ละประเภทนั้น มีคุณสมบัติอย่างไร?
ประเภทของกล้องดิจิตอล มี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ กล้องดิจิตอลแบบคอมแพค (Compact) และกล้องดิจิตอลแบบ SLR โดยสามารถแบ่งแยกย่อยออกได้เป็น 3 ชนิด คือ แบบคอมแพค (Compact) แบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like (หรืออาจเรียกได้ว่าแบบคอมแพคกึ่ง SLR) และสุดท้ายคือแบบ SLR
กล้องแต่ละแบบชนิดประเภทมีคุณสมบัติอย่างไรและเหมาะสำหรับใคร?
จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ได้เรียงลำดับประเภทชนิดของกล้องออกตามคุณสมบัติของฟังก์ชั่นการใช้งานในระดับมือสมัครเล่นไปจนถึงขั้นเทพหรือโปรระดับมืออาชีพ ดังนี้คือ
กล้องแบบคอมแพค (Compact)
กล้องชนิดนี้มีคุณสมบัติแด่นเป็นกล้องสำเร็จรูปพร้อมใช้แบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องการการปรับแต่งอะไรมากนัก เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเล่นกล้องที่ยังไม่คล่องในด้านการปรับแต่งฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะสมกับแสงและบรรยากาศแวดล้อมต่างๆ ส่วนมากจะมี P/A/S/M Auto (อัตโนมัติ) รวมถึงอาจมีฟังก์ชั่น Portrait (ถ่ายภาพบุคคล) Landscape (ถ่ายภาพวิว) Sports (ถ่ายภาพกีฬา) Night scene (ถ่ายภาพกลางคืน) ไว้ให้เลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมอย่างสะดวกและแสนจะง่ายดาย

กล้องแบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like
กล้องกึ่งมืออาชีพ ที่มีคุณภาพ และคุณสมบัติของฟังก์ชั่นการใช้งานดีกว่ากล้องดิจิตอลแบบคอมแพค (Compact) สามารถให้ผู้ใช้เลือกปรับแต่งฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ได้เอง และมีระบบ Auto (อัตโนมัติ) ให้เลือกใช้ ทั้งนี้ ผู้ใช้งานควรที่จะได้ศึกษาวิธีการใช้ให้ดี เพื่อให้กล้องชนิดนี้สามารถแสดงศักยภาพในความเป็นกล้องคุณภาพได้อย่างเต็มที่ พร้อมให้ตากล้องได้อวดฝีมือการถ่ายภาพให้ปรากฏสู่สายตาสาธารณชนอย่างน่าดูชม ซึ่งแน่นอนว่าของดีกว่าย่อมมีราคาที่สูงกว่าตามไปด้วย
กล้องแบบ SLR
กล้องแบบนี้จะมีคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกับกล้องฟิล์ม มีฟังก์ชันการใช้งานที่มากกว่ากล้องแบบคอมแพค (Compact) และมีคุณสมบัติเหนือกว่ากล้องแบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like สามารถถ่ายภาพที่ต้องการความคมชัดได้ดีกว่า ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ตามความเหมาะสม โดยเลนส์ที่ใช้จะมีคุณภาพและมีคุณสมบัติการทำงานที่ดีและสูงกว่า กล้องแบบคอมแพค (Compact) และกล้องแบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like ส่วนเรื่องราคานั้น พูดกันง่ายๆ ว่า แค่แฟลชภายนอกที่ซื้อมาใช้ สามารถซื้อกล้องแบบคอมแพค (Compact) ได้ตัวหนึ่งสบายๆ เลยเชียวล่ะ!
การจะตัดสินใจเลือกซื้อกล้องแบบไหน ชนิดใด ดูๆ แล้วอาจเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่คุณลองพิจารณาดูว่า คุณเล่นกล้องเป็นแค่ไหน มีความรู้มากน้อยเพียงใดในการปรับแต่งการทำงานของกล้อง และต้องการความเป็นมืออาชีพมากน้อยแค่ไหนในระดับใด
สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงปราการด่านแรกแต่ก็นับว่าสำคัญในการจะตัดสินใจเลือกซื้อหากล้องมาสะพายไหล่คล้องคอถ่ายภาพสวย และแม้จะสำคัญแต่คงไม่ใช่ปัจจัยหลักทั้งหมดของการตัดสินใจเลือกซื้อ เพราะคุณยังต้องเปรียบเทียบคุณสมบัติและฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อซึ่งมีให้เลือกอีกมากมาย สำหรับขั้นตอนนี้ขอให้ใจเย็นๆ อาจจะไปเดินดู ไปทดลองใช้ ไปคุยกับคนขายหลายๆ ร้านก่อนก็ได้ เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาเปรียบเทียบซื้อเพื่อให้ได้กล้องคุณภาพตามที่คุณต้องการมากที่สุด และเมื่อเลือกยี่ห้อและรุ่นได้ถูกใจแล้ว นักท่องอินเตอร์เนต นักชอปออนไลน์ อาจตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านร้านค้าออนไลน์ชื่อดังอย่างอเมซอลก็ได้ไม่มีใครว่า เพราะบางรุ่นในเมืองไทยก็ไม่มีขาย และหลายรุ่นหากจะเปรียบเทียบราคากันจริงๆ แล้ว ก็ถูกกว่าซื้อในเมืองไทยเป็นไหนๆ หากสนใจขอแนะนำว่าลองคลิกเข้าไปดูได้ที่นี่ AZ Camera by Amazon

อ่านเพิ่มเติม

เบอร์รี ฟีเวอร์

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สมัยนี้ดูจะเป็นยุคสมัยของเบอร์รี (อ๊ะๆ อย่าบอกนะจ๊ะว่าไม่รู้จัก) หลายวันก่อนคุยกับเพื่อน คุยไปคุยมาเรื่องจิปาถะ สัพเพเหระ จู่ๆ เพื่อนก็บอกว่าอยากทำไร่เบอร์รี ถามว่าเบอร์รี่อะไร สตรอว์เบอร์รี หรือบูลเบอร์รี หรือราสเบอร์รี หรือตะขบเบอร์รี (อิอิ หน้าตาดี ดูละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ดันถูกกล่าวหาว่าไม่มีชาติตระกูลซะงั้น!!! อ่ะ ไม่เกี่ยวกับเบอร์รีนะ แซวเพื่อนเล่นขำๆ น่ะ) เพื่อนบอกปลูกทุกเบอร์รีไปเลย... หน้านี้น่ะนะ น่าจะขายได้ดี น่าจะรวย (อ่ะแน่ะ!!! รวยแล้วอย่าลืมแบ่งเพื่อนคนนี้มั่งน๊า...)
หรือจะเพราะสรรพคุณของเบอร์รี ที่ว่าช่วยต้านมะเร็งหลอดอาหารได้ จึงทำให้ผู้คนหันมาสนใจและรับประทานผลไม้ชนิดนี้กันมากขึ้น จากข้อมูลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา พบว่า การรับประทานผลไม้จำพวก เบอร์รี เช่น สตรอว์เบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ อย่างน้อยครึ่งถ้วยทุกวัน จะช่วยลดอัตราเสี่ยงโรคมะเร็งหลอดอาหารได้ เพราะในเบอร์รีมีสารจำพวก Phytochemicals หลายชนิดที่ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร ซึ่งกว่าร้อยละ 88 ของผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 5 ปีหลังจากตรวจพบ ข้อมูลยังบอกอีกด้วยว่าเพศชายซึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงสูงจากการเป็นนักดื่มมีสิทธิ์เป็นโรคนี้มากกว่าเพศหญิงนะจ๊ะ
กระแสเบอร์รี่จะฟีเวอร์ขนาดไหน ลองคิดดูเถอะ ในชีวิตประจำวันทุกวันนี้ พอจะสั่งไอศกรีมมารับประทาน ก็ไม่วายมีใจให้สตอรเบอร์รี่ซันเดย์ คนกลัวอ้วนอยากรับประทานโยเกิร์ตก็มีรสเบอร์รี่และมิกซ์เบอร์รี่ ส่วนคนที่ไม่กลัวอ้วนอยากรับประทานเบเกอรี่ ก็แว่บไปนึกถึงบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก จะอมลูกอมก็ยังไม่วายมีลูกอมกลิ่นราสเบอร์รี่ให้เลือกซะอีกจนได้ ...จะใช้โทรศัพท์... (นั่นแน่!!! เบอร์รีที่รับประทานไม่ได้แต่เท่ก็มีนะ) เดี๋ยวนี้จะเยื้องกลายไปไหนหรือคุยกับใครถ้าพูดกันถึงเรื่องโทรศัพท์มือถือล่ะก็... ใครๆ ก็พูดกันถึง... BlackBerry หรือ BB ที่มาแรงสุดๆ แรงจนฉุดไม่อยู่ แรงล้ำหน้าชนิดเบอร์รี่ที่รับประทานได้ต้องหลบชิดซ้ายตกขอบกันไปเลยทีเดียว
ว่าแล้ววันนี้ก็เลยขอ Intrend กับเขาบ้าง ไปหยิบเอา Slideshow BB เน้นรุ่นที่ใหม่เอี่ยม และรุ่นที่เป็นที่นิยมกัน มาแปะไว้ข้างบน ให้เพื่อนๆ ลองคลิกกันเข้าไปดู เข้าไปเลือกซื้อหากันได้ ส่วนร้าน Shopping Online ที่ขาย BlackBerry สารพัดรุ่น ขอแนะนำร้าน M Cellphones Shop ให้ทุกท่านได้รู้จัก กดเข้าไปตามลิงก์ที่ให้นั่นแหละ จะเจอสารพัด BlackBerry ให้เลือกสรร หรือถ้าอยากจะเลือกดูเลือกซื้อกันแบบหลากหลายชนิดทั้งรุ่นและยี่ห้อให้สะใจ ที่ร้านนี้เค้าก็มีให้เลือกจ้า...
เอ...เอ๋... แล้วคุณล่ะ มีเบอร์รี่ในใจกันบ้างอ๊ะเปล่า?

อ่านเพิ่มเติม

"ผมขาวเหมือนดอกเลา" คำกล่าวของคนล้านนา

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ดอกเลาเป็นอย่างไร หลายคนคงไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก แต่กับผู้คนที่มีวิถีชีวิตอยู่แถวลุ่มน้ำปิง คงเคยเห็นดอกเลาสีขาวเต็มสองฟากฝั่ง ต้นอ้อ ต้นแขม หรือต้นเลา มีขึ้นมากมายตามริมฝั่งลำน้ำแม่ปิง ที่จริงไม้พวกนี้มีประโยชน์มากมายต่อฝั่งน้ำ เพราะมีรากเหง้าที่ลึกและดกหนา แผ่กระจายไปกว้าง จับเกาะตามหน้าดินซึ่งเป็นฝั่งน้ำ ทำให้เนื้อดินติดกันแน่นไม่พังไปกับสายน้ำได้ง่ายๆ ดอกเลาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดอกแขม มักจะออกดอกให้ผู้คนได้เห็นเมื่อเข้าสู่หน้าหนาว ขณะที่กระแสน้ำปิงเริ่มลดลาฝั่ง ยามที่ลมพัดโชย พาเอาความหนาวเย็นมาสู่ผู้คน ดอกเลาเริ่มแทงยอดอวดสีขาวบริสุทธิ์ให้ผู้คนได้รับรู้ว่า ฤดูกาลทำสวนริมสองฝั่งน้ำ... ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
เมื่อเห็นดอกเลา ชาวสวนริมสองฟากฝั่งลำน้ำปิงจะลงมือถากถางขุดแต่งพื้นดินให้เป็นร่องเป็นแปลงเพื่อปลูกพืชสวนตามปกติ ในยามนี้เองเราจะเห็นกลุ่มควันที่เกิดจากการเผาไหม้กอหญ้ากอพืชที่ไม่มีใครต้องการ ลอยเคว้งคว้างผ่านปลายยอดดอกเลาดูงามตาเป็นยิ่งนัก ในขณะที่บนท้องฟ้าสีครามกว้างไกล สายลมที่พัดพลิ้วในครั้งคราวหนึ่งๆ ยังอาจพัดพาเอาละอองเกสรกลีบดอกเลาปลิวไปตามสายลม พลัดพรากจากถิ่นที่เคยอยู่ ไปตกหล่นพลัดถิ่นในที่ไกลๆ

ในบรรยากาศแบบนี้นอกจากจะสร้างความสวยงามให้โลกเห็นแล้ว ยังเป็นเสมือนหนึ่งเครื่องเตือนจิตใจผู้คนให้ได้หันกลับมาพิจารณาตนเอง พิจารณาสังขารวัยอันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เฉกเช่นสีของเส้นผมคนเราที่แปรเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวดั่งสีของดอกเลาตามสภาพอายุขัย ที่บ่งบอกถึงสัจจธรรมความเป็นไปในความเป็นจริงของชิวิต ที่อาจทำให้ผู้คนได้ตระหนักรู้เช่นกันว่า ความชราได้มาเยือนร่างกายนี้แล้ว อย่างไม่มีข้อยกเว้น และไม่อาจยับยั้ง หรือหลีกเลี่ยงใดๆ ได้

ดอกเลาแม้เมื่อต้องลอยคว้างจากถิ่นที่กำเนิดไปยังถิ่นที่ห่างไกล ก็ยังคงสีขาวสะอาดสดใสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น หวนกลับมามองดูผู้คนโดยเฉพาะตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่ต้องพลัดพรากจากไป มีความดีงามอะไรคงเหลือไว้ให้ลูกหลานชื่นชมกันบ้างหรือ?
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล นิคม พรหมมาเทพย์
ภาพดอกเลาฝั่งลำน้ำปิงท่าวัง ขอนตาล อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

อ่านเพิ่มเติม

พริก เผ็ด ร้อน Hot&Spicy

พูดถึงความเผ็ดร้อนและสีสันจัดจ้านของอาหารจานเด็ด คงต้องยกให้พริกเป็นตัวเอกในการดำเนินเรื่อง แต่จะมีใครคาดคิดบ้างว่า ในโลกนี้นอกจากจะได้มีการศึกษาถึงเรื่องคุณค่าทางโภชนาการของพริกกันไว้แล้วยังได้มีการศึกษาถึงค่าความเผ็ดร้อนของพริกกันอีกด้วย

ในการค้นคว้าทดลองเรื่องพริกอย่างกว้างขวาง พบว่า สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว และสีอื่นๆ ที่มีอยู่มากมายถึง 20 ชนิดในพริกนั้น มีวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก เรียกได้ว่า มากกว่าวิตามินซีที่พบในผลส้มเสียอีก โดยในพริก 28 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 100 มิลลิกรัม และมีวิตามินเอสูง ถึง 16,000 หน่วย พริกจึงช่วยป้องกันโรคหวัด และช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในพริกยังมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลออาการแก่เกินวัยได้
แล้วทำไมพริกจึงเผ็ด?
หลายคนอาจจะเคยสงสัย เรื่องนี้มีคำตอบจากการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ในพริกมีสารเคมีชื่อ แคปไซซิน (Capsaicin) มีสูตรโมเลกุลคือ C18H27NO3 แคปไซซิน เป็นสารธรรมชาติจำพวกอัสคาลอยด์ เป็นสารที่ทำให้พริกมีรสเผ็ด และมีสรรพคุณช่วยลดน้ำมูก หรือ สารกีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากหวัด
ในปี พ.ศ. 2456 มีนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันนี ชื่อ วิลเบอร์ สโควิลล์ (Willbur Scoville) ได้ริเริ่มวัดค่าความเผ็ดของพริกเป็นคนแรก โดยใช้กลุ่มคนที่ชอบทานพริกเป็นกลุ่มทดลอง และต่อมาได้มีการพัฒนาเครื่องมือวัดค่าความเผ็ดของพริก ชื่อว่า เอช พีแอล ซี (HPLC – pressure liquild chromatography)
ผลความเผ็ดปรากฏดังนี้
อันดับที่ 1 พริกที่มีความเผ็ดที่สุดในโลก ได้แก่ พริกฮาบาเนโรแดงซาวีนา
อันดับที่ 2 พริกฮาบาเนโร
อันดับที่ 3 พริกขี้หนู พริกสก็อต บอนเนท พริกจาไมก้า
อันดับที่ 4 พริกที่มีความเผ็ดปานกลาง คือ พริกชี้ฟ้า
อันดับที่ 5 พริกที่ไม่มีความเผ็ดเลย คือ พริกหยวก พริกหวาน
เสน่ห์ของพริก นอกจากจะอยู่ที่ความเผ็ดร้อนแล้ว สิ่งที่ทำให้พืชชนิดนี้ได้รับความสนใจ ไม่แพ้เรื่องของความเผ็ด คือ คุณค่าทางโภชนาการที่นับว่าสูงขั้นเทพก็อาจกล่าวได้ พริกนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการหวัด บำรุงสายตา และช่วยต้านอนุมูลอิสระดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว พริกยังช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ลดความดัน ช่วยป้องกันไม่ให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ( LDL) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ที่ดีได้อีกด้วย
ทราบข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับพริกกันอย่างนี้แล้ว คนที่รับประทานเผ็ดเป็นประจำคงรู้สึกดีมาก แต่คนที่รับประทานเผ็ดไม่เป็นหรือไม่เก่งนี่สิ ...โถๆๆ น่าเห็นใจ... พริกให้ประโยชน์ที่สำคัญแก่ร่างกายมากมายขนาดนี้ ใครไม่ชอบรับประทานเผ็ด คงต้องตัดสินใจใหม่แล้วล่ะ!!!

อ่านเพิ่มเติม

สูตรคำนวณการดื่มน้ำ

เอ๊ะ!!! แปลกใจกันล่ะสิ

มีด้วยเหรอ ดื่มน้ำต้องคำนวณสูตร ถ้าจะมีก็เห็นจะเป็นสูตรสำเร็จที่ได้ยินกันมาแต่ไหนแต่ไร ว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
...ก็แหม... อันนี้ก็เป็นสูตรที่มีมานานแต่ไหนแต่ไร ใครๆ ก็คงเคยได้เรียน ได้รู้ ได้รับทราบกันมานานแสนนานแล้ว รวมถึงที่ว่าน้ำที่จะเข้าสู่ร่างกายได้นั้น มาจากน้ำที่ดื่มและอาหารที่รับประทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำที่จะออกจากร่างกายได้นั้น มีทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และลมหายใจ
เพิ่มเติมอีกนิดคือ ร่างกายขับน้ำออกทางปัสสาวะเป็นหลัก อย่างน้อย 500 มิลลิลิตร/วัน ส่วนอีก 3 ทางที่เหลือรวมประมาณ 1000 มิลลิลิตร/วัน
ดังนั้นแค่ว่าต้องดื่มน้ำชดเชยส่วนที่ร่างกายสูญเสียไปต่อวันก็ปาเข้าไปลิตรครึ่งหรือประมาณ 7-8 แก้วเข้าไปแล้ว เราจึงมักได้ยินคำกล่าวว่าควรดื่มน้ำให้มากกว่าที่ร่างกายสูญเสียไป ผลที่ได้จึงกลายเป็น 8-10 แก้ว แต่ลองคิดดูง่ายๆ สิ ถ้าใช้สูตรนี้กับทุกคน เด็กทารกก็ดื่มเท่านี้ เด็กโตก็เท่านี้ วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนชรา ก็ดื่มเท่านี้เท่ากันหมด ...สูตร 8-10 แก้วจะเหมาะกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ...
อืมมม...น่าคิดใช่มั้ยล่ะ!!!
ว่าแล้วเราลองมาดูสูตรคำนวณการดื่มน้ำที่ว่ากันดีกว่า ลองคำนวณดูนะ ว่าจะใช้ได้จริงๆ รึเปล่า
สูตรคือ น้ำหนักตัว(กิโลกรัม) x 2.2 x 30 / 2
ตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม คำนวณแล้วได้ผลลัพธ์ 1980 หน่วยเป็นมิลลิลิตร หรือได้ผลลัพธ์ประมาณ 2 ลิตร ถ้าดื่มน้ำแก้วละ 200 มิลลิลิตร ก็ควรดื่ม 10 แก้ว เป็นต้น
ปรากฏว่าได้ผลลัพธ์ออกมา 10 แก้วเหมือนกัน แต่ลองพิจารณาดูแล้ว สูตรนี้คำนวณมาจากน้ำหนักตัว ถ้าน้ำหนักตัวน้อยกว่านี้ก็ดื่มน้อยกว่านี้ ถ้าน้ำหนักตัวมากกว่านี้ก็ดื่มมากขึ้น ดูมีเหตุผลดีใช่มั้ยล่ะ
ไม่ได้บอกให้เชื่อสูตรนี้นะ แต่ได้ข้อมูลมาเลยเอามาแบ่งปัน ยังไงก็ลองพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันจ้า...

อ่านเพิ่มเติม

เตรียมตัวไปตั้งแคมป์

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แม้จะเป็นหน้าหนาว แต่หนาวในเมืองแทบไม่รู้สึกว่าหนาว เลยต้องชวนกันออกไปหาที่หนาวๆ เย็นๆ อยู่กันสัก 2-3 วัน หรือเป็นอาทิตย์ก็ว่ากันไป แต่จะว่าไปแล้ว แม้จะเป็นหน้าร้อนก็หาเรื่องออกไปเที่ยวหาที่เย็นๆ ให้รู้สึกสบายกาย สบายตา สบายใจ ไม่แพ้กัน หน้าฝนก็จะเปียกแถวบ้านทำไม หาเรื่องเที่ยวสัมผัสบรรยากาศดีๆ ชวนให้มีความสุขกันอีกจนได้ สรุปไม่ว่าฤดูกาลจะผันเปลี่ยนไปเป็นเช่นไร คนรักการท่องเที่ยว ย่อมไม่พลาด ตามไปเก็บบรรยากาศมาจนได้
ทริปนี้ก่อนจะไปเที่ยวแบบแคมปิ้ง ก็ขอให้เตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์กันไปให้พร้อมจะดีกว่า เลยไปเก็บเว็บรวบรวมสินค้าสำหรับคนแคมป์ที่มีให้ได้เลือกสรรกันอย่างจุใจเลยทีเดียว ทั้งเป้ กระเป๋า เต้นท์ ถุงนอน อุปกรณ์เครื่องใช้จำเป็นต่างๆ รวมไปทั้งการครัว เครื่องกระป๋อง และแม้แต่อาหารสำเร็จรูปที่จำเป็นต้องมี และที่สำคัญยังเป็นสินค้าเฉพาะของคนชอบเที่ยว ที่อาจต้องเป็นของใช้ง่าย พกสะดวก ถ้าหาที่ไหนไม่ค่อยได้ถูกใจ ลองแวะไปที่นี่ดู Camp Shop วิธีการจะหาซื้ออะไรก็ไปดูที่ Browse by Category แล้วเลือกหมวดหมู่สินค้าที่ต้องการ ถ้าจะกลับมาที่หน้าหลักก็เลือกที่ Camping & Backpacking ง่ายๆ แค่นี้เอง
ฤดูแห่งการท่องเที่ยวนี้ ก็ขอให้ทุกท่านเที่ยวอย่างมีความสุขสนุกสนานเบิกบานหฤทัยกันไปอย่างชนิดที่คนไม่ได้ไปอิจฉาก็แล้วกันน๊า...

อ่านเพิ่มเติม

การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์หรือเชิงนิเวศ (Ecotourism)

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

นิยามและความหมาย

มีบุคคลหรือองค์กรต่างๆ ให้ความหมายและคำจำกัดความของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ไว้มากมาย ตัวอย่างความหมายหรือคำจำกัดความของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อันเป็นที่ยอมรับในระดับหนึ่งและได้รับการอ้างอิงถึงเสมอ ได้แก่Ceballos Lascurain (1991)
"เป็นการท่องเที่ยวรูปแบบหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางไปยังแหล่งธรรมชาติ โดยไม่ให้เกิดการรบกวนหรือทำความเสียหายแก่ธรรมชาติ แต่มีวัตถุประสงค์เพื่อชื่นชม ศึกษาเรียนรู้ และเพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพ พืชพรรณ และสัตว์ป่า ตลอดจนลักษณะทางวัฒนธรรมที่ปรากฏในแหล่งธรรมชาติเหล่านั้น"
Elizabeth Boo (1991)
"การท่องเที่ยวแบบอิงธรรมชาติที่เอื้อประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ อันเนื่องมาจากการมีเงินทุนสำหรับการปกป้องดูแลรักษาพื้นที่ มีการสร้างงานให้กับชุมชนหรือท้องถิ่น พร้อมทั้งให้การศึกษา และสร้างจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อม"
The Ecotourism Society (1991)
"การเดินทางไปเยือนแหล่งธรรมชาติ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการเรียนรู้ถึงวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ด้วยความระมัดระวัง ไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือทำลายคุณค่าของระบบนิเวศ และในขณะเดียวกันก็ช่วยสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจที่ส่งผลให้การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เกิดประโยชน์ต่อประชาชนท้องถิ่น"
Western (1993)
"การเดินทางท่องเที่ยวที่รับผิดชอบต่อแหล่งธรรมชาติซึ่งมีการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และทำให้ชีวิตความเป็น อยู่ของประชาชนท้องถิ่นดีขึ้น" (ปรับปรุงจากคำจำกัดความการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ของ The Ecotourism Society ให้สั้นและกระทัดรัด แต่มีความหมายสมบูรณ์มากขึ้น)
The Commonwealt Department of Tourism (1994)
"การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คือ การท่องเที่ยวธรรมชาติที่ครอบคลุมถึงสาระด้านการศึกษา การเข้าใจธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และการจัดการเพื่อรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืน คำว่า ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ยังครอบคลุมถึงขนบธรรมเนียมประเพณีท้องถิ่นด้วย ส่วนคำว่าการรักษาระบบนิเวศให้ยั่งยืนนั้นหมายถึง การปันผลประโยชน์ต่างๆ กลับสู่ชุมชนท้องถิ่นและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ"
เสรี เวชบุษกร (2538)
"การท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบต่อแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นธรรมชาติและต่อสิ่งแวดล้อมทางสังคม ซึ่งหมายรวมถึงวัฒนธรรมของชุมชนในท้องถิ่น ตลอดจนโบราณสถาน โบราณวัตถุ ที่มีอยู่ในท้องถิ่นด้วย"

อ่านเพิ่มเติม

แนะนำ GPS & Navigation

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552


ทุกวันนี้สินค้าจำพวก GPS และ Navigation กำลังมาแรงสุดๆ แทบจะฉุดไม่อยู่ ถ้าใครซื้อรถรุ่นใหม่ปีนี้ คงเห็นหลายค่ายนำมาขายควบรถกันอยู่บ้าง อันนี้ขอกระซิบว่า กระบะยังมี Navigation เลยนะเดี๋ยวนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ แต่สำหรับรถบางรุ่น บางยี่ห้อ ซึ่งไม่ขอเอ่ยนาม เขาคิดราคาค่า Navigation ยังไงไม่ทราบ แพงหูฉี่ จนมีบางคนซื้อแบบไม่มี Navigation ก็ได้ แล้วค่อยไปซื้อหามาติดทีหลังเอาเอง ประมาณว่าซื้อเองถูกกว่าเยอะ หรือไม่ก็ได้เสปคถูกใจกว่าประมาณนั้น วันนี้เลยขอแนะนำเว็บที่รวมสินค้าจำพวก GPS และ Navigation ที่น่าสนใจเว็บหนึ่ง ใครชอบชอปปิ้งออนไลน์ ลองเข้าไปดูไปเลือกไปชมไปชอปกันเองก็แล้วกัน เผื่อจะมีสักรุ่นที่คุณสนใจและราคาพอสมเหตุสมผล ได้รุ่นโดนใจ ใช้แล้วมีความสุข ก็เลือกดูกันเองก็แล้วกัน ร้านบนเนตที่พูดถึงนั้นนั่นก็คือ GPS & Navigation Store โดย amazon เจ้าเก่าจ้า

อ่านเพิ่มเติม

การตกแต่งภายในบ้าน เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์

วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

หากใครคิดจะปลูกบ้านหรือซื้อบ้านอยู่อาศัยสักหลัง นอกจากจะต้องพิจารณาเรื่องตัวบ้านแล้ว สิ่งสำคัญที่ควรคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ นั่นก็คือ การตกแต่งภายในบ้าน ให้มีความสวยงาม น่าอยู่ ถึงพร้อมด้วยอรรถประโยชน์ใช้สอยในทุกห้องทุกพื้นที่ภายในบ้าน ที่ควรตกแต่งจัดสรรให้เหมาะเจาะลงตัว แถมพกด้วยความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวประจำบ้านนั้นๆ ได้ ก็จะยิ่งเพิ่มความเก๋ไก๋ที่นอกจากจะเป็นการตกแต่งบ้านเพื่อให้บ้านเป็นที่อยู่อาศัยที่รวมความสุขของทุกคนในบ้านได้แล้ว ยังอาจทำให้แขกไปใครมาหรือเพื่อนบ้านที่เข้ามาพบปะพูดคุยกันในบ้าน ได้มีความสุขสดชื่นไปตามๆ กันอีกด้วย
ถ้าการสร้างบ้านเป็นไปได้อย่างนั้นก็อาจเรียกได้ว่าเป็นการสร้างบ้านในฝันให้เป็นจริงได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด แต่การตกแต่งภายในบ้านเพื่อให้ได้บ้านที่ดีที่สุดนั้น คงไม่มีใครสามารถชี้ชัดบอกลงไปได้ว่าจะต้องทำอย่างไรเป็นขั้นเป็นตอนอย่างไรจึงจะเหมาะสมสำหรับทุกคนในครอบครัวแต่ละครอบครัว เพราะการตกแต่งภายในบ้านนั้น มีความพอใจ ชอบใจ ของแต่ละคนในบ้าน และแต่ละบ้าน ที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งสำคัญคือ ควรมีหลักคิด หรือแนวความคิดที่เป็นไปได้และไปกันได้ หมายถึงเป็นที่ยอมรับสำหรับทุกคนในบ้าน ในเรื่องการตกแต่งแต่ละห้องทุกห้อง ที่นอกจากจะต้องคำนึงถึงเรื่องของความสวยงามและประโยชน์ใช้สอยแล้ว ควรคำนึงถึงความชอบของแต่ละบุคคลอีกด้วย เพื่อให้บ้านเป็นบ้านที่มอบความสุขกายสบายใจให้กับทุกๆ คนในบ้าน ได้พักผ่อน ได้เป็นที่อาศัยอยู่ร่วมกัน อย่างอบอุ่นและมีความสุขอย่างแท้จริง

อ่านเพิ่มเติม

เทคนิคการขับขี่รถให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทุกวันนี้ดูท่าว่าพลังงานน้ำมันจะมีการขยับปรับราคาสูงขึ้นๆๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีการขึ้นราคาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเช่นนี้ หากเราไม่สามารถหยุดหรือเลิกใช้น้ำมันได้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการประหยัด เพราะเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้เราได้สบายใจสบายเงินในกระเป๋ากันมากขึ้น

สุดยอดวิธีการขับขี่รถยนต์แบบประหยัดน้ำมัน สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ขณะสตาร์ทรถ ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ ไฟหน้ารถ และเครื่องเสียง จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น เปลืองน้ำมัน 10%
2. ไม่อุ่นเครื่องยนต์ก่อนขับเคลื่อนตัวรถ เพียงขับเคลื่อนรถเบาๆ 1-2 ก.ม. เครื่องยนต์จะอุ่นเอง การอุ่นเครื่องยนต์แล้วจอดอยู่กับที่ทิ้งไว้ 2 นาที สิ้นเปลืองน้ำมัน 40 ซีซี.
3. ไม่เบิ้ล ไม่บิดเครื่องยนต์ เพราะการเบิ้ลเครื่องยนต์ ขณะเกียร์ว่าง 10 ครั้ง ส่งผลให้รถจักรยานยนต์ สิ้นเปลืองน้ำมัน 15 ซีซี., รถปิคอัพ รถตู้ รถแวน สิ้นเปลืองน้ำมัน100 ซีซี. และรถบรรทุก สิ้นเปลืองน้ำมัน 300 ซีซี.
4. ขับรถระยะไกล ด้วยความเร็วคงที่ และไม่เกินป้ายจำกัดความเร็ว อัตราความเร็วรถที่เหมาะสมที่จะประหยัดน้ำมันได้มากที่สุดคือ 60 - 80 ก.ม./ช.ม. อัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถยนต์ที่ความเร็วต่างๆ กัน เปรียบเทียบได้ดังนี้- ความเร็ว 95 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 15%- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 80 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 29%- ความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 10%- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 25%
5. ก่อนถึงไฟแดงชะลอความเร็วแต่เนิ่นๆ ด้วยการถอนคันเร่ง และค่อยเหยียบเบรก นอกจากจะช่วยประหยัดน้ำมันแล้วยังช่วยยืดอายุผ้าเบรค
6. ปิดเครื่องปรับอากาศก่อนถึงที่หมาย 2-3 นาที ประหยัดน้ำมันได้ 30 ซีซี.
7. ขับ 91 เติม 91 เลือกเติมน้ำมันที่มีค่าออกเทนเหมาะสมกับเครื่องยนต์ การเติมน้ำมันออกเทน 95 ทั้งๆ ที่รถของคุณใช้ออกเทน 91 ได้ ทำให้คุณเสียเงินเพิ่มและไม่ช่วยให้เครื่องยนต์แรงขึ้น
8. สังเกตอาการผิดปกติของรถ ควันไอเสียมีสีดำ หรือขาวผิดปกติ เกิดจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ที่ไม่สมบูรณ์ มีผลให้สิ้นเปลืองน้ำมัน
9. ควรดับเครื่องยนต์ขณะจอดรถคอย เพราะการติดเครื่องยนต์จอดรถเป็นเวลา 5 นาที จะสิ้นเปลืองน้ำมัน 100 ซีซี.
10. เติมลมยางให้ถูกต้องตามกำหนด ถ้ายางอ่อนเกินไปจะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น
แหล่งข้อมูล :
- หนังสือ การขับรถ และงานบำรุงรักษารถยนตร์ โดย ศิระ บุญธรรมกุล และพงษ์ศักดิ์ บุญธรรมกุล
- คู่มือแข่งขันประหยัดน้ำมัน รวมพลังหยุดรถซดน้ำมัน โดย ศูนย์อนุรักษ์พลังงานแห่งประเทศไทย
- คู่มือประหยัดพลังงานเพื่อประชาชน โดย สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน

อ่านเพิ่มเติม

ข้อควรพิจารณาในการจัดสวนแนวตั้ง

1. ต้องแน่ใจว่าต้นไม้ที่ใช้เป็นพืชในร่ม (Indoorplant) ชนิดที่ต้องการแสงน้อย แต่ก็ไม่ควรมืดทึบเกินไปจนแสงแดดไม่สามารถส่องผ่านได้เลย เพราะอย่างไรก็ตาม ต้นไม้ทุกชนิดยังต้องการแสงช่วยในการสังเคราะห์อาหาร
2. เลือกประเภทของไม้ที่เหมาะสมกับสถานที่ในการจัดสวนแนวตั้ง (VERTICAL GARDEN) เช่น

- สร้างเป็นกำแพงมีชีวิต (Living Wall) ด้วยไม้เลื้อย ไม้แขวน หรือกระถางแขวน (Hanging garden)
- Vertical Jungle ปลูกต้นไม้ให้ดกครึ้มเสมือนป่าสีเขียวอันร่มรื่นภายในบ้าน
- Cascade garden สวนน้ำตกลดหลั่นกันลงมา
- สวนแนวตั้งในบ้าน
3. สวนแนวตั้งอาจต้องการการให้น้ำที่บ่อยครั้งกว่า ซึ่งในกรณีเช่นนี้การคลุมโคนต้นให้มีความชื้นก็อาจเป็นการดูแลรักษาต้นไม้ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง
4. พิจารณาว่าต้องการปลูกต้นไม้ที่มีความสูงในแนวตั้งมากเท่าไหร่? ความสูงของต้นไม้เมื่อโตเต็มที่มีขนาดเท่าใด หากสูงเกินไปอาจต้องใช้บันได จึงควรพิจารณาก่อนว่าสวนจะสูงแค่ไหนเมื่อทำเสร็จแล้ว? และควรวางแนวของต้นไม้ไว้กี่ลำดับชั้น? มีลูกเล่นของกระถางด้วยหรือไม่?
5. ใช้อุปกรณ์อะไรในการปลูกบ้าง? เช่น
- กระถาง (Container) ธรรมดาทั่วๆ ไป
- กระบะปลูกต้นไม้ (Planter box)
- ปลูกบนโต๊ะ (Table top Planter)
6. ศึกษาวิธีการดูแลรักษาต้นไม้ที่คิดจะปลูกในทุกขั้นตอน ด้านการเลือกปุ๋ย ใส่ปุ๋ย การกำจัดแมลงและวัชพืช การตัดแต่ง การให้น้ำ ฯลฯ
7. ควรเลือกต้นไม้ชนิดที่รู้จักดี เพราะจะช่วยให้สามารถดูแลรักษาต้นไม้นั้นๆ ด้วยตัวเองได้อย่างง่ายขึ้นและมีความสุข ไม่ใช่ปลูกแล้วต้องมานั่งกลุ้มใจในภายหลังเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี
หวังว่าเคล็ดไม่ลับที่นำมาฝากนี้จะช่วยให้ทุกท่านปลูกต้นไม้และเก็บเกี่ยวความสุขสดชื่นกันได้อย่างเต็มปอด และช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนด้วยมือเราเองได้อีกทางหนึ่งด้วย

อ่านเพิ่มเติม

ป้องกันตะคริวก่อนลงว่ายน้ำ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตะคริว หรือ ตะคิว หมายถึง อาการหดตัวของกล้ามเนื้อและค้างอยู่ ทำให้เกิดการเจ็บปวด เคยมีข้อมูลว่าถ้าเป็นบนบก ปล่อยให้อยู่นิ่งๆ ก็จะหายไปได้เอง แต่ถ้าเป็นไปได้ควรนวดเฟ้น หรือ ทำกายบริหารขาส่วนนั้นเพื่อยืดกล้ามเนื้อ หรือใช้โยคะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวลง ก็คงจะดีกว่าอยู่เฉยๆ แล้วทนเจ็บปวดปล่อยให้หายไปเองเป็นแน่ แต่ถ้าอยู่ในน้ำหรือกำลังว่ายน้ำอยู่แล้วเกิดเป็นตะคริวขึ้นมาจะอันตรายมาก เพราะอาจทำให้จมน้ำตายได้ มีข้อมูลที่น่าสนใจอยู่ข้อมูลหนึ่ง ขอนำมาฝากไว้ วิธีป้องกันมิให้เกิดเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำหรือเล่นน้ำอยู่นั้น เขาให้ดื่มน้ำเกลือแกง หรือเกลือในครัวนั่นแหละ เอาไปละลายน้ำให้มีรสเค็มพอประมาณ แล้วดื่มก่อนว่ายน้ำ สูตรนี้มีผู้รับรองว่าไม่เป็นตะคริวแน่นอน ไม่ทราบว่าจริงเท็จประการใด แต่ถ้าใครจะพิสูจน์ก็ระวังโรคไตกันด้วยก็ดีนะจ๊

อ่านเพิ่มเติม

คาลิล ยิบราน KHALIL GIBRAN

คาลิล ยิบราน เกิดที่ Bechari ประเทศเลบานอน ในปี ค.ศ.๑๘๘๓ ตายที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ เป็นกวี นักเขียน และศิลปินที่ได้รับสมญานามว่า "วิลเลียมเบลคแห่งศตวรรษที่ ๒๐" บิดามารดาของยิบรานเป็นผู้มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี ตระกูลทางมารดาได้ชื่อว่าเก่งดนตรีที่สุดในหมู่บ้าน ยิบรานได้แสดงฝีมือทางวาดเขียน ก่อสร้าง ปั้น และแต่เรียงความมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุ ๘ ปี ก็สนใจและเข้าใจซาบซึ้งในงานของไมเคิล แอนเยลโลและเลโอนารโดดารวินชิ ในปี ๑๘๙๕ ครอบครัวของเขาได้เดินทางไปตั้งรกรากยังสหรัฐอเมริกา แต่เมื่ออายุได้สิบสี่ปีครึ่ง ยิบรานก็เดินทางกลับมายังเลบานอนและเข้าเรียนในสถานศึกษาภาษาอาหรับของซีเรีย ต่อมาเขาได้เดินทางไปศึกษาศิลปะกับโรแดง ( Rodin) ปฏิมากรชาวฝรั่งเศสที่ Ecole des Beaux Arts ในกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ยิบรานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและพำนักอยู่ในกรุงนิวยอร์ค และที่นั่นเอง เขาก็ได้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมนักเขียนชาวอาหรับ (Arabic P.E.N. Club) และได้เป็นนายกของสมาคมด้วย
งานประพันธ์ของยิบรานได้มีอิทธิพลจูงใจคนรุ่นหลังมาก ทั้งผู้ใช้ภาษาอาเรบิคในประเทศอาหรับและในอเมริกา ตลอดทั้งยุโรป เอเชีย ตั้งแต่ประเทศจีนถึงสเปน งานชิ้นแรกๆ ของยิบราน เป็นบทเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ งานเหล่านั้นแสดงทัศนะเห็นแจ้งในธรรมะ ความงดงามในท่วงทำนอง และแนวใหม่ที่จะเข้าแก้ปัญหาของชีวิต ยิบรานเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนของเขาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี งานชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ชิ้นที่ชื่อ "THE PROPHET" ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน งานชิ้นนี้ได้ถูกแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่าสิบสามภาษา อ่านกันแพร่หลายอย่างยิ่งทั่วโลก ยิบรานได้บรรจุหลักสัจธรรมไว้ด้วยสำนวนกวีอ่านง่ายแต่ไพเราะ เข้าถึงชนทุกชั้น นับเป็นทั้งบทกวี ปรัชญาและธรรมะ พร้อมกันไปในตัว บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมากได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้นนี้เป็นเสมือนประทีป นำแนวทางแห่งการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะสัจธรรมนั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด
ข้าพเจ้าแปลงานชิ้นนี้เป็นภาษาไทย ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้คัดบางส่วนลงพิมพ์ในที่หลายแห่ง ต้นฉบับแปลสมบูรณ์หายไปในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗ - ๘ จึงได้แปลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตัวอัลมุสตาฟาในเรื่องตอบปัญหาหลักธรรมถึง ๒๖ หัวข้อด้วยกัน ล้วนบรรจุข้อปรัชญาอันลึกซึ้งและไพเราะด้วยลีลากวีไว้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าได้พยายามถ่ายทอดความไพเราะของต้นฉบับเดิมออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าท่านที่สนใจคงจะได้รับรสและความซาบซึ้งจากฉบับแปลนี้ตามสมควร
ระวี ภาวิไล มีนาคม ๒๕๐๔

อ่านเพิ่มเติม

คิดบวก ชีวิตบวก Positive Thinking, Positive Life


ข้อคิดดีๆ เวลาเจอสิ่งต่างๆ ไม่พึงปรารถนา ให้บอกตัวเอง ดังนี้ว่า
งานหนัก คือโอกาสในการเตรียมพร้อมสู่ความเป็นมืออาชีพ
ปัญหาซับซ้อน คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ
ความทุกข์หนัก คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
นายจอมละเมียด คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (perfectionist)
คำตำหนิ คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
คำนินทา คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย
ความผิดหวัง คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต
ความป่วยไข้ คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
ความพลัดพราก คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
ลูกหัวดื้อ คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง
แฟนทิ้ง ความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง
ภาวะหลุดจากอำนาจ คือความเป็นอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
คนกลิ้งกะล่อน คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม
คนเลว คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์
อุบัติเหตุ คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด
ศัตรูคอยกลั่นแกล้ง คือบททดสอบที่ว่า "มารไม่มีบารมีไม่เกิด"
วิกฤต คือบทพิสูจน์สัจธรรม "ในวิกฤตย่อมมีโอกาส"
ความจน คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต
ความตาย คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
ว. วชิระเมธี

อ่านเพิ่มเติม

สาละ

ต้นสาละ (Shorea robusta Roxb.)

สกุล (Genus) ไม้สยา (Shorea)
วงศ์ (Family) ไม้ยาง (Dipterocarpaceae)
สาละ หรือที่ชาวอินเดียเรียกว่า ซาล (Sal) เป็นไม้พื้นเมืองของอินเดีย มักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่ ไม่ผลัดใบ เปลือกสีเทา แตกเป็นร่องเป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปเจดีย์หรือรูปไข่ เรือนพุ่มประมาณ 2/3 ของความสูงของต้น ปลายกิ่งห้อยลู่ลง ใบดกหนา รูปไข่กว้าง โคนใบหยักเว้าเข้า ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเป็นมันเกลี้ยง พื้นใบมักเป็นคลื่น รูปทรงคล้ายใบรัง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ไม่มีขน ดอกสีเหลืองอ่อน ออกดอกตามปลายกิ่งและง่ามใบ รวมกันเป็นช่อดอกสั้นๆ กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลแข็ง มีปีก 5 ปีก ยาว 3 ปีก สั้น 2 ปีก แต่ละปีกมีเส้นตามยาวปีก 10-15 เส้น
การขยายพันธุ์
นิยมใช้เมล็ดเพาะหรือจะใช้การตอนกิ่งหรือทาบกิ่ง แต่การตอนหรือทาบกิ่งนั้นเปอร์เซ็นต์การติดน้อยมาก

การปลูกในประเทศไทย
ผู้นำเอาต้นสาละหรือต้นซาลเข้ามาปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะปลูกไว้ตามวัดต่าง ๆ เช่น วัดพระเชตุพนฯ วัดบวรนิเวศน์ฯ และที่สวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี เป็นต้น มีประวัติการนำมาปลูกหลายครั้ง อาทิ
  • หลวงบุเรศบำรุงการนำมาถวายสมเด็จพระมหาวีรวงษ์ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยทรงปลูกไว้ที่หน้าพระอุโบสถ 2 ต้น กับได้น้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2510 อีก 2 ต้น ซึ่งทรงปลูกไว้ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 1 ต้น และทรงมอบให้วิทยาลัยการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีอีก 1 ต้น
  • อาจารย์เคี้ยน เอียดแก้ว และอาจารย์เฉลิม มหิทธิกุล ได้นำต้นสาละมาปลูกไว้ในบริเวณคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ที่ค่ายพักนิสิตวนศาสตร์ สวนสักแม่หวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง
  • พระพุทธทาสภิกขุ ปลูกไว้ที่สวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
  • และนายสวัสดิ์ นิชรัตน์ ผู้อำนวยการกองบำรุง ได้นำต้นสาละมาปลูกไว้ในสวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี

ความเข้าใจเกี่ยวกับต้นสาละหรือซาล
ชาวไทยอาจจะยังค่อนข้างสับสนกันอยู่ เช่น เข้าใจว่าต้นสาละ เป็นต้นเดียวกันกับต้นรัง ที่มีชื่อทางพฤกษศาตร์ว่า Shorea siamensis Miq. เพราะรูปร่างและขนาด ของใบคล้ายคลึงกันมาก ประกอบกับต่างก็ชอบขึ้นเป็นหมู่ด้วยเช่นกัน แต่รังของไทยผิวใบไม่เป็นมัน พื้นผิว ค่อนข้างเรียบ บางสายพันธุ์ยังมีขนตามผิวใบ กับพอใบแก่จัดก่อนร่วงยังกลายเป็นสีแดงอิฐเสียอีกด้วยบางทีก็เข้าใจว่าต้นลูกปืนใหญ่หรือแคนนอลบอล ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Couroupita guianensis Aubl. เพราะมีผู้นำต้นไม้ชนิดนี้มาจากประเทศลังกา และได้รับการบอกเล่าจากทางลังกาว่าเป็นต้นสาละ แต่พันธุ์ไม้ดังกล่าวจะมีช่อดอกออกตามลำต้น ดอกโตขนาดถ้วยแกง และมีผลกลม โต ขนาดผลส้มโอย่อมๆ

ต้นไม้ในพุทธประวัติ
สาละ หรือ ซาล เป็นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ทรงประสูติจนถึงปรินิพพาน โดยที่พุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา เมื่อใกล้กำหนดจะให้พระประสูติการก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไป ยังกรุงเทวทหนคร อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง (ตามธรรมเนียมพราหมณ์ ผู้หญิงเมื่อจะคลอดบุตร ต้องกลับไปคลอดที่บ้านของพ่อแม่ตน) ในระหว่างทางพระนางได้ทรงหยุดพักบริเวณป่าแห่งหนึ่ง ใต้ร่มต้นสาละ เขตตำบลลุมพินีสถาน พระนางทรงเจ็บพระครรภ์ จึงใช้ร่มของต้นสาละ ณ ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ประสูติ
สาละ เกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัติโดยที่พระพุทธองค์ได้เสด็จไปถึงยังเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน ภายใต้ร่มต้นสาละคู่หนึ่ง ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก จึงรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดที่บรรทมเอนพระวรกายลงโดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม

สวนแนวตั้ง VERTICAL GARDEN

Landscape รูปแบบใหม่
จากปัญหาสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ทำให้มีความตระหนักและตื่นตัวในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว มีการรณรงค์ให้ปลูกต้นไม้กันมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ ดูดซับ กรองฝุ่น ควัน และมลพิษต่างๆ ในอากาศ เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย รวมทั้งเพิ่มทัศนียภาพที่สวยงามให้กับพื้นที่โดยรอบ ทำให้สวนแนวตั้ง Vertical Garden ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด

อ่านเพิ่มเติม

ลิ้นมังกร

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552



ลิ้นมังกร
ชื่อสามัญ Mather - in - law's Tongue
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sancivieria.
ตระกูล AGAVACEAE
ถิ่นกำเนิด แถบทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ
ต้นลิ้นมังกรเป็นพืชที่ปลูกง่ายและทนทาน สามารถอยู่ในที่ร่มในบ้านได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นปลูกไม้ประดับในอาคาร มีพันธุ์ให้เลือกปลูกได้มากถึงประมาณ 70 ชนิด เป็นต้นไม้ที่ชาวไทยรู้จักกันดีและนิยมปลูกกันอยู่ทั่วไป พันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ลิ้นมังกรขอบใบเหลือง Sansevieria Trifasciata เนื่องจากมีสีสดใสและมีขอบใบเหลือง ทำให้ดูสวยงามกว่าพันธุ์อื่น สามารถปลูกโดยไม่ต้องใช้ดิน ชาวจีนสมัยก่อนนิยมนำมาปักหรือปลูกในแจกัน ปัจจุบันยังเป็นที่นิยมปลูกกันมากในต่างประเทศอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ลิ้นมังกรเป็นพรรณไม้ ที่มีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ในดิน ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อ ๆ ส่วนใบเกิดจากหัวที่โผล่ออกมาพ้นดินเป็นกอ ใบมีลักษณะยาว 30-50 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร แข็งเป็นมัน มีปลายแหลม โค้งงอเล็กน้อย ขอบใบเรียบและมีสีเหลือง กลางใบสีเขียวอ่อน มีเส้นประสีเขียวเข้ม ก้านดอกประกอบด้วยกลุ่มดอกเป็นชั้น ๆ ดอกมีขนาดเล็ก สีขาว มีกลีบประมาณ 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่จะมีขนาด 2 เซนติเมตร เรียงกันเป็นแนวตามชั้นของก้านดอก ขนาดใบ และสีสัน จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
การปลูก มี 2 วิธี
1. การปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน นิยมปลูกในแปลงปลูก หรือปลูกเป็นแนวรั้วบ้านตามแบบโบราณ ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน : อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก
2. การปลูกเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร มักปลูกในกระถาง ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-15 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก และควรเปลี่ยนกระถางทุก 1-2 ปี เพราะเนื่องจากการขยายตัวของรากและหน่อและเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
การดูแลรักษา
แสงแดด : ต้นลิ้นมังกรต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ : ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง
ดิน : ใช้ดินร่วนซุย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ปีละ 4-5 ครั้ง
การขยายพันธุ์ : แยกหน่อหรือตัดชำใบ
โรคและแมลง : ไม่ค่อยพบโรคและแมลงที่ก่อให้เกิดปัญหา

อ่านเพิ่มเติม

 
 
Copyright © abczaa...