ยินดีต้อนรับ

abczaa...ความซ่า...ไม่มีขีดจำกัด...แหล่งรวมไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของคนรุ่นใหม่ ยินดีต้อนรับทุกท่าน ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม...^o^

การเลือกซื้อกล้องดิจิตอล

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ก่อนจะซื้อกล้องดิจิตอล ควรต้องทราบก่อนว่า กล้องดิจิตอลมีกี่ประเภท? และแต่ละประเภทนั้น มีคุณสมบัติอย่างไร?
ประเภทของกล้องดิจิตอล มี 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ กล้องดิจิตอลแบบคอมแพค (Compact) และกล้องดิจิตอลแบบ SLR โดยสามารถแบ่งแยกย่อยออกได้เป็น 3 ชนิด คือ แบบคอมแพค (Compact) แบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like (หรืออาจเรียกได้ว่าแบบคอมแพคกึ่ง SLR) และสุดท้ายคือแบบ SLR
กล้องแต่ละแบบชนิดประเภทมีคุณสมบัติอย่างไรและเหมาะสำหรับใคร?
จากที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ได้เรียงลำดับประเภทชนิดของกล้องออกตามคุณสมบัติของฟังก์ชั่นการใช้งานในระดับมือสมัครเล่นไปจนถึงขั้นเทพหรือโปรระดับมืออาชีพ ดังนี้คือ
กล้องแบบคอมแพค (Compact)
กล้องชนิดนี้มีคุณสมบัติแด่นเป็นกล้องสำเร็จรูปพร้อมใช้แบบง่ายๆ ที่ไม่ต้องการการปรับแต่งอะไรมากนัก เหมาะสำหรับมือใหม่หัดเล่นกล้องที่ยังไม่คล่องในด้านการปรับแต่งฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะสมกับแสงและบรรยากาศแวดล้อมต่างๆ ส่วนมากจะมี P/A/S/M Auto (อัตโนมัติ) รวมถึงอาจมีฟังก์ชั่น Portrait (ถ่ายภาพบุคคล) Landscape (ถ่ายภาพวิว) Sports (ถ่ายภาพกีฬา) Night scene (ถ่ายภาพกลางคืน) ไว้ให้เลือกใช้งานได้ตามความเหมาะสมอย่างสะดวกและแสนจะง่ายดาย

กล้องแบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like
กล้องกึ่งมืออาชีพ ที่มีคุณภาพ และคุณสมบัติของฟังก์ชั่นการใช้งานดีกว่ากล้องดิจิตอลแบบคอมแพค (Compact) สามารถให้ผู้ใช้เลือกปรับแต่งฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ ได้เอง และมีระบบ Auto (อัตโนมัติ) ให้เลือกใช้ ทั้งนี้ ผู้ใช้งานควรที่จะได้ศึกษาวิธีการใช้ให้ดี เพื่อให้กล้องชนิดนี้สามารถแสดงศักยภาพในความเป็นกล้องคุณภาพได้อย่างเต็มที่ พร้อมให้ตากล้องได้อวดฝีมือการถ่ายภาพให้ปรากฏสู่สายตาสาธารณชนอย่างน่าดูชม ซึ่งแน่นอนว่าของดีกว่าย่อมมีราคาที่สูงกว่าตามไปด้วย
กล้องแบบ SLR
กล้องแบบนี้จะมีคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกับกล้องฟิล์ม มีฟังก์ชันการใช้งานที่มากกว่ากล้องแบบคอมแพค (Compact) และมีคุณสมบัติเหนือกว่ากล้องแบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like สามารถถ่ายภาพที่ต้องการความคมชัดได้ดีกว่า ถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ตามความเหมาะสม โดยเลนส์ที่ใช้จะมีคุณภาพและมีคุณสมบัติการทำงานที่ดีและสูงกว่า กล้องแบบคอมแพค (Compact) และกล้องแบบ Semi-Pro หรือ SLR-Like ส่วนเรื่องราคานั้น พูดกันง่ายๆ ว่า แค่แฟลชภายนอกที่ซื้อมาใช้ สามารถซื้อกล้องแบบคอมแพค (Compact) ได้ตัวหนึ่งสบายๆ เลยเชียวล่ะ!
การจะตัดสินใจเลือกซื้อกล้องแบบไหน ชนิดใด ดูๆ แล้วอาจเป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่คุณลองพิจารณาดูว่า คุณเล่นกล้องเป็นแค่ไหน มีความรู้มากน้อยเพียงใดในการปรับแต่งการทำงานของกล้อง และต้องการความเป็นมืออาชีพมากน้อยแค่ไหนในระดับใด
สิ่งต่างๆ เหล่านี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นเพียงปราการด่านแรกแต่ก็นับว่าสำคัญในการจะตัดสินใจเลือกซื้อหากล้องมาสะพายไหล่คล้องคอถ่ายภาพสวย และแม้จะสำคัญแต่คงไม่ใช่ปัจจัยหลักทั้งหมดของการตัดสินใจเลือกซื้อ เพราะคุณยังต้องเปรียบเทียบคุณสมบัติและฟังก์ชั่นการใช้งานที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อซึ่งมีให้เลือกอีกมากมาย สำหรับขั้นตอนนี้ขอให้ใจเย็นๆ อาจจะไปเดินดู ไปทดลองใช้ ไปคุยกับคนขายหลายๆ ร้านก่อนก็ได้ เพื่อนำข้อมูลต่างๆ มาเปรียบเทียบซื้อเพื่อให้ได้กล้องคุณภาพตามที่คุณต้องการมากที่สุด และเมื่อเลือกยี่ห้อและรุ่นได้ถูกใจแล้ว นักท่องอินเตอร์เนต นักชอปออนไลน์ อาจตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านร้านค้าออนไลน์ชื่อดังอย่างอเมซอลก็ได้ไม่มีใครว่า เพราะบางรุ่นในเมืองไทยก็ไม่มีขาย และหลายรุ่นหากจะเปรียบเทียบราคากันจริงๆ แล้ว ก็ถูกกว่าซื้อในเมืองไทยเป็นไหนๆ หากสนใจขอแนะนำว่าลองคลิกเข้าไปดูได้ที่นี่ AZ Camera by Amazon

อ่านเพิ่มเติม

เบอร์รี ฟีเวอร์

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สมัยนี้ดูจะเป็นยุคสมัยของเบอร์รี (อ๊ะๆ อย่าบอกนะจ๊ะว่าไม่รู้จัก) หลายวันก่อนคุยกับเพื่อน คุยไปคุยมาเรื่องจิปาถะ สัพเพเหระ จู่ๆ เพื่อนก็บอกว่าอยากทำไร่เบอร์รี ถามว่าเบอร์รี่อะไร สตรอว์เบอร์รี หรือบูลเบอร์รี หรือราสเบอร์รี หรือตะขบเบอร์รี (อิอิ หน้าตาดี ดูละม้ายคล้ายคลึงกัน แต่ดันถูกกล่าวหาว่าไม่มีชาติตระกูลซะงั้น!!! อ่ะ ไม่เกี่ยวกับเบอร์รีนะ แซวเพื่อนเล่นขำๆ น่ะ) เพื่อนบอกปลูกทุกเบอร์รีไปเลย... หน้านี้น่ะนะ น่าจะขายได้ดี น่าจะรวย (อ่ะแน่ะ!!! รวยแล้วอย่าลืมแบ่งเพื่อนคนนี้มั่งน๊า...)
หรือจะเพราะสรรพคุณของเบอร์รี ที่ว่าช่วยต้านมะเร็งหลอดอาหารได้ จึงทำให้ผู้คนหันมาสนใจและรับประทานผลไม้ชนิดนี้กันมากขึ้น จากข้อมูลการวิจัยของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในรัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา พบว่า การรับประทานผลไม้จำพวก เบอร์รี เช่น สตรอว์เบอร์รี่ และราสเบอร์รี่ อย่างน้อยครึ่งถ้วยทุกวัน จะช่วยลดอัตราเสี่ยงโรคมะเร็งหลอดอาหารได้ เพราะในเบอร์รีมีสารจำพวก Phytochemicals หลายชนิดที่ช่วยป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งหลอดอาหาร ซึ่งกว่าร้อยละ 88 ของผู้ป่วยจะเสียชีวิตภายใน 5 ปีหลังจากตรวจพบ ข้อมูลยังบอกอีกด้วยว่าเพศชายซึ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงสูงจากการเป็นนักดื่มมีสิทธิ์เป็นโรคนี้มากกว่าเพศหญิงนะจ๊ะ
กระแสเบอร์รี่จะฟีเวอร์ขนาดไหน ลองคิดดูเถอะ ในชีวิตประจำวันทุกวันนี้ พอจะสั่งไอศกรีมมารับประทาน ก็ไม่วายมีใจให้สตอรเบอร์รี่ซันเดย์ คนกลัวอ้วนอยากรับประทานโยเกิร์ตก็มีรสเบอร์รี่และมิกซ์เบอร์รี่ ส่วนคนที่ไม่กลัวอ้วนอยากรับประทานเบเกอรี่ ก็แว่บไปนึกถึงบลูเบอร์รี่ชีสเค้ก จะอมลูกอมก็ยังไม่วายมีลูกอมกลิ่นราสเบอร์รี่ให้เลือกซะอีกจนได้ ...จะใช้โทรศัพท์... (นั่นแน่!!! เบอร์รีที่รับประทานไม่ได้แต่เท่ก็มีนะ) เดี๋ยวนี้จะเยื้องกลายไปไหนหรือคุยกับใครถ้าพูดกันถึงเรื่องโทรศัพท์มือถือล่ะก็... ใครๆ ก็พูดกันถึง... BlackBerry หรือ BB ที่มาแรงสุดๆ แรงจนฉุดไม่อยู่ แรงล้ำหน้าชนิดเบอร์รี่ที่รับประทานได้ต้องหลบชิดซ้ายตกขอบกันไปเลยทีเดียว
ว่าแล้ววันนี้ก็เลยขอ Intrend กับเขาบ้าง ไปหยิบเอา Slideshow BB เน้นรุ่นที่ใหม่เอี่ยม และรุ่นที่เป็นที่นิยมกัน มาแปะไว้ข้างบน ให้เพื่อนๆ ลองคลิกกันเข้าไปดู เข้าไปเลือกซื้อหากันได้ ส่วนร้าน Shopping Online ที่ขาย BlackBerry สารพัดรุ่น ขอแนะนำร้าน M Cellphones Shop ให้ทุกท่านได้รู้จัก กดเข้าไปตามลิงก์ที่ให้นั่นแหละ จะเจอสารพัด BlackBerry ให้เลือกสรร หรือถ้าอยากจะเลือกดูเลือกซื้อกันแบบหลากหลายชนิดทั้งรุ่นและยี่ห้อให้สะใจ ที่ร้านนี้เค้าก็มีให้เลือกจ้า...
เอ...เอ๋... แล้วคุณล่ะ มีเบอร์รี่ในใจกันบ้างอ๊ะเปล่า?

อ่านเพิ่มเติม

"ผมขาวเหมือนดอกเลา" คำกล่าวของคนล้านนา

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ดอกเลาเป็นอย่างไร หลายคนคงไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก แต่กับผู้คนที่มีวิถีชีวิตอยู่แถวลุ่มน้ำปิง คงเคยเห็นดอกเลาสีขาวเต็มสองฟากฝั่ง ต้นอ้อ ต้นแขม หรือต้นเลา มีขึ้นมากมายตามริมฝั่งลำน้ำแม่ปิง ที่จริงไม้พวกนี้มีประโยชน์มากมายต่อฝั่งน้ำ เพราะมีรากเหง้าที่ลึกและดกหนา แผ่กระจายไปกว้าง จับเกาะตามหน้าดินซึ่งเป็นฝั่งน้ำ ทำให้เนื้อดินติดกันแน่นไม่พังไปกับสายน้ำได้ง่ายๆ ดอกเลาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าดอกแขม มักจะออกดอกให้ผู้คนได้เห็นเมื่อเข้าสู่หน้าหนาว ขณะที่กระแสน้ำปิงเริ่มลดลาฝั่ง ยามที่ลมพัดโชย พาเอาความหนาวเย็นมาสู่ผู้คน ดอกเลาเริ่มแทงยอดอวดสีขาวบริสุทธิ์ให้ผู้คนได้รับรู้ว่า ฤดูกาลทำสวนริมสองฝั่งน้ำ... ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...
เมื่อเห็นดอกเลา ชาวสวนริมสองฟากฝั่งลำน้ำปิงจะลงมือถากถางขุดแต่งพื้นดินให้เป็นร่องเป็นแปลงเพื่อปลูกพืชสวนตามปกติ ในยามนี้เองเราจะเห็นกลุ่มควันที่เกิดจากการเผาไหม้กอหญ้ากอพืชที่ไม่มีใครต้องการ ลอยเคว้งคว้างผ่านปลายยอดดอกเลาดูงามตาเป็นยิ่งนัก ในขณะที่บนท้องฟ้าสีครามกว้างไกล สายลมที่พัดพลิ้วในครั้งคราวหนึ่งๆ ยังอาจพัดพาเอาละอองเกสรกลีบดอกเลาปลิวไปตามสายลม พลัดพรากจากถิ่นที่เคยอยู่ ไปตกหล่นพลัดถิ่นในที่ไกลๆ

ในบรรยากาศแบบนี้นอกจากจะสร้างความสวยงามให้โลกเห็นแล้ว ยังเป็นเสมือนหนึ่งเครื่องเตือนจิตใจผู้คนให้ได้หันกลับมาพิจารณาตนเอง พิจารณาสังขารวัยอันเปลี่ยนไปตามธรรมชาติ เฉกเช่นสีของเส้นผมคนเราที่แปรเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาวดั่งสีของดอกเลาตามสภาพอายุขัย ที่บ่งบอกถึงสัจจธรรมความเป็นไปในความเป็นจริงของชิวิต ที่อาจทำให้ผู้คนได้ตระหนักรู้เช่นกันว่า ความชราได้มาเยือนร่างกายนี้แล้ว อย่างไม่มีข้อยกเว้น และไม่อาจยับยั้ง หรือหลีกเลี่ยงใดๆ ได้

ดอกเลาแม้เมื่อต้องลอยคว้างจากถิ่นที่กำเนิดไปยังถิ่นที่ห่างไกล ก็ยังคงสีขาวสะอาดสดใสซึ่งเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวไว้ได้อย่างเหนียวแน่น หวนกลับมามองดูผู้คนโดยเฉพาะตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่ต้องพลัดพรากจากไป มีความดีงามอะไรคงเหลือไว้ให้ลูกหลานชื่นชมกันบ้างหรือ?
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล นิคม พรหมมาเทพย์
ภาพดอกเลาฝั่งลำน้ำปิงท่าวัง ขอนตาล อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

อ่านเพิ่มเติม

พริก เผ็ด ร้อน Hot&Spicy

พูดถึงความเผ็ดร้อนและสีสันจัดจ้านของอาหารจานเด็ด คงต้องยกให้พริกเป็นตัวเอกในการดำเนินเรื่อง แต่จะมีใครคาดคิดบ้างว่า ในโลกนี้นอกจากจะได้มีการศึกษาถึงเรื่องคุณค่าทางโภชนาการของพริกกันไว้แล้วยังได้มีการศึกษาถึงค่าความเผ็ดร้อนของพริกกันอีกด้วย

ในการค้นคว้าทดลองเรื่องพริกอย่างกว้างขวาง พบว่า สีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียว และสีอื่นๆ ที่มีอยู่มากมายถึง 20 ชนิดในพริกนั้น มีวิตามินซีในปริมาณที่สูงมาก เรียกได้ว่า มากกว่าวิตามินซีที่พบในผลส้มเสียอีก โดยในพริก 28 กรัม จะมีวิตามินซีสูงถึง 100 มิลลิกรัม และมีวิตามินเอสูง ถึง 16,000 หน่วย พริกจึงช่วยป้องกันโรคหวัด และช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในพริกยังมีสารเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) ที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระ ชะลออาการแก่เกินวัยได้
แล้วทำไมพริกจึงเผ็ด?
หลายคนอาจจะเคยสงสัย เรื่องนี้มีคำตอบจากการค้นคว้าของนักวิทยาศาสตร์ พบว่า ในพริกมีสารเคมีชื่อ แคปไซซิน (Capsaicin) มีสูตรโมเลกุลคือ C18H27NO3 แคปไซซิน เป็นสารธรรมชาติจำพวกอัสคาลอยด์ เป็นสารที่ทำให้พริกมีรสเผ็ด และมีสรรพคุณช่วยลดน้ำมูก หรือ สารกีดขวางระบบทางเดินหายใจอันเนื่องมาจากหวัด
ในปี พ.ศ. 2456 มีนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันนี ชื่อ วิลเบอร์ สโควิลล์ (Willbur Scoville) ได้ริเริ่มวัดค่าความเผ็ดของพริกเป็นคนแรก โดยใช้กลุ่มคนที่ชอบทานพริกเป็นกลุ่มทดลอง และต่อมาได้มีการพัฒนาเครื่องมือวัดค่าความเผ็ดของพริก ชื่อว่า เอช พีแอล ซี (HPLC – pressure liquild chromatography)
ผลความเผ็ดปรากฏดังนี้
อันดับที่ 1 พริกที่มีความเผ็ดที่สุดในโลก ได้แก่ พริกฮาบาเนโรแดงซาวีนา
อันดับที่ 2 พริกฮาบาเนโร
อันดับที่ 3 พริกขี้หนู พริกสก็อต บอนเนท พริกจาไมก้า
อันดับที่ 4 พริกที่มีความเผ็ดปานกลาง คือ พริกชี้ฟ้า
อันดับที่ 5 พริกที่ไม่มีความเผ็ดเลย คือ พริกหยวก พริกหวาน
เสน่ห์ของพริก นอกจากจะอยู่ที่ความเผ็ดร้อนแล้ว สิ่งที่ทำให้พืชชนิดนี้ได้รับความสนใจ ไม่แพ้เรื่องของความเผ็ด คือ คุณค่าทางโภชนาการที่นับว่าสูงขั้นเทพก็อาจกล่าวได้ พริกนอกจากจะช่วยบรรเทาอาการหวัด บำรุงสายตา และช่วยต้านอนุมูลอิสระดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว พริกยังช่วยลดการอุดตันของเส้นเลือด ลดความดัน ช่วยป้องกันไม่ให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ( LDL) ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็ง ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างสุขภาพและอารมณ์ที่ดีได้อีกด้วย
ทราบข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับพริกกันอย่างนี้แล้ว คนที่รับประทานเผ็ดเป็นประจำคงรู้สึกดีมาก แต่คนที่รับประทานเผ็ดไม่เป็นหรือไม่เก่งนี่สิ ...โถๆๆ น่าเห็นใจ... พริกให้ประโยชน์ที่สำคัญแก่ร่างกายมากมายขนาดนี้ ใครไม่ชอบรับประทานเผ็ด คงต้องตัดสินใจใหม่แล้วล่ะ!!!

อ่านเพิ่มเติม

สูตรคำนวณการดื่มน้ำ

เอ๊ะ!!! แปลกใจกันล่ะสิ

มีด้วยเหรอ ดื่มน้ำต้องคำนวณสูตร ถ้าจะมีก็เห็นจะเป็นสูตรสำเร็จที่ได้ยินกันมาแต่ไหนแต่ไร ว่าควรดื่มน้ำให้ได้อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว
...ก็แหม... อันนี้ก็เป็นสูตรที่มีมานานแต่ไหนแต่ไร ใครๆ ก็คงเคยได้เรียน ได้รู้ ได้รับทราบกันมานานแสนนานแล้ว รวมถึงที่ว่าน้ำที่จะเข้าสู่ร่างกายได้นั้น มาจากน้ำที่ดื่มและอาหารที่รับประทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำที่จะออกจากร่างกายได้นั้น มีทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และลมหายใจ
เพิ่มเติมอีกนิดคือ ร่างกายขับน้ำออกทางปัสสาวะเป็นหลัก อย่างน้อย 500 มิลลิลิตร/วัน ส่วนอีก 3 ทางที่เหลือรวมประมาณ 1000 มิลลิลิตร/วัน
ดังนั้นแค่ว่าต้องดื่มน้ำชดเชยส่วนที่ร่างกายสูญเสียไปต่อวันก็ปาเข้าไปลิตรครึ่งหรือประมาณ 7-8 แก้วเข้าไปแล้ว เราจึงมักได้ยินคำกล่าวว่าควรดื่มน้ำให้มากกว่าที่ร่างกายสูญเสียไป ผลที่ได้จึงกลายเป็น 8-10 แก้ว แต่ลองคิดดูง่ายๆ สิ ถ้าใช้สูตรนี้กับทุกคน เด็กทารกก็ดื่มเท่านี้ เด็กโตก็เท่านี้ วัยรุ่น ผู้ใหญ่ คนชรา ก็ดื่มเท่านี้เท่ากันหมด ...สูตร 8-10 แก้วจะเหมาะกับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ได้จริงๆ อย่างนั้นหรือ...
อืมมม...น่าคิดใช่มั้ยล่ะ!!!
ว่าแล้วเราลองมาดูสูตรคำนวณการดื่มน้ำที่ว่ากันดีกว่า ลองคำนวณดูนะ ว่าจะใช้ได้จริงๆ รึเปล่า
สูตรคือ น้ำหนักตัว(กิโลกรัม) x 2.2 x 30 / 2
ตัวอย่างเช่น น้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม คำนวณแล้วได้ผลลัพธ์ 1980 หน่วยเป็นมิลลิลิตร หรือได้ผลลัพธ์ประมาณ 2 ลิตร ถ้าดื่มน้ำแก้วละ 200 มิลลิลิตร ก็ควรดื่ม 10 แก้ว เป็นต้น
ปรากฏว่าได้ผลลัพธ์ออกมา 10 แก้วเหมือนกัน แต่ลองพิจารณาดูแล้ว สูตรนี้คำนวณมาจากน้ำหนักตัว ถ้าน้ำหนักตัวน้อยกว่านี้ก็ดื่มน้อยกว่านี้ ถ้าน้ำหนักตัวมากกว่านี้ก็ดื่มมากขึ้น ดูมีเหตุผลดีใช่มั้ยล่ะ
ไม่ได้บอกให้เชื่อสูตรนี้นะ แต่ได้ข้อมูลมาเลยเอามาแบ่งปัน ยังไงก็ลองพิจารณาดูเอาเองก็แล้วกันจ้า...

อ่านเพิ่มเติม

 
 
Copyright © abczaa...