ยินดีต้อนรับ

abczaa...ความซ่า...ไม่มีขีดจำกัด...แหล่งรวมไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของคนรุ่นใหม่ ยินดีต้อนรับทุกท่าน ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมชม...^o^
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชมสวน แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชมสวน แสดงบทความทั้งหมด

ข้อควรพิจารณาในการจัดสวนแนวตั้ง

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

1. ต้องแน่ใจว่าต้นไม้ที่ใช้เป็นพืชในร่ม (Indoorplant) ชนิดที่ต้องการแสงน้อย แต่ก็ไม่ควรมืดทึบเกินไปจนแสงแดดไม่สามารถส่องผ่านได้เลย เพราะอย่างไรก็ตาม ต้นไม้ทุกชนิดยังต้องการแสงช่วยในการสังเคราะห์อาหาร
2. เลือกประเภทของไม้ที่เหมาะสมกับสถานที่ในการจัดสวนแนวตั้ง (VERTICAL GARDEN) เช่น

- สร้างเป็นกำแพงมีชีวิต (Living Wall) ด้วยไม้เลื้อย ไม้แขวน หรือกระถางแขวน (Hanging garden)
- Vertical Jungle ปลูกต้นไม้ให้ดกครึ้มเสมือนป่าสีเขียวอันร่มรื่นภายในบ้าน
- Cascade garden สวนน้ำตกลดหลั่นกันลงมา
- สวนแนวตั้งในบ้าน
3. สวนแนวตั้งอาจต้องการการให้น้ำที่บ่อยครั้งกว่า ซึ่งในกรณีเช่นนี้การคลุมโคนต้นให้มีความชื้นก็อาจเป็นการดูแลรักษาต้นไม้ที่ดีอีกวิธีหนึ่ง
4. พิจารณาว่าต้องการปลูกต้นไม้ที่มีความสูงในแนวตั้งมากเท่าไหร่? ความสูงของต้นไม้เมื่อโตเต็มที่มีขนาดเท่าใด หากสูงเกินไปอาจต้องใช้บันได จึงควรพิจารณาก่อนว่าสวนจะสูงแค่ไหนเมื่อทำเสร็จแล้ว? และควรวางแนวของต้นไม้ไว้กี่ลำดับชั้น? มีลูกเล่นของกระถางด้วยหรือไม่?
5. ใช้อุปกรณ์อะไรในการปลูกบ้าง? เช่น
- กระถาง (Container) ธรรมดาทั่วๆ ไป
- กระบะปลูกต้นไม้ (Planter box)
- ปลูกบนโต๊ะ (Table top Planter)
6. ศึกษาวิธีการดูแลรักษาต้นไม้ที่คิดจะปลูกในทุกขั้นตอน ด้านการเลือกปุ๋ย ใส่ปุ๋ย การกำจัดแมลงและวัชพืช การตัดแต่ง การให้น้ำ ฯลฯ
7. ควรเลือกต้นไม้ชนิดที่รู้จักดี เพราะจะช่วยให้สามารถดูแลรักษาต้นไม้นั้นๆ ด้วยตัวเองได้อย่างง่ายขึ้นและมีความสุข ไม่ใช่ปลูกแล้วต้องมานั่งกลุ้มใจในภายหลังเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปดี
หวังว่าเคล็ดไม่ลับที่นำมาฝากนี้จะช่วยให้ทุกท่านปลูกต้นไม้และเก็บเกี่ยวความสุขสดชื่นกันได้อย่างเต็มปอด และช่วยแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนด้วยมือเราเองได้อีกทางหนึ่งด้วย

อ่านเพิ่มเติม

สาละ

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ต้นสาละ (Shorea robusta Roxb.)

สกุล (Genus) ไม้สยา (Shorea)
วงศ์ (Family) ไม้ยาง (Dipterocarpaceae)
สาละ หรือที่ชาวอินเดียเรียกว่า ซาล (Sal) เป็นไม้พื้นเมืองของอินเดีย มักขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ตามบริเวณที่ค่อนข้างจะชุ่มชื้น เป็นต้นไม้ขนาดกลางถึงใหญ่ ไม่ผลัดใบ เปลือกสีเทา แตกเป็นร่องเป็นสะเก็ดทั่วไป เรือนยอดเป็นพุ่มทึบรูปเจดีย์หรือรูปไข่ เรือนพุ่มประมาณ 2/3 ของความสูงของต้น ปลายกิ่งห้อยลู่ลง ใบดกหนา รูปไข่กว้าง โคนใบหยักเว้าเข้า ปลายใบหยักเป็นติ่งแหลมสั้นๆ ผิวใบเป็นมันเกลี้ยง พื้นใบมักเป็นคลื่น รูปทรงคล้ายใบรัง กิ่งอ่อนเกลี้ยง ไม่มีขน ดอกสีเหลืองอ่อน ออกดอกตามปลายกิ่งและง่ามใบ รวมกันเป็นช่อดอกสั้นๆ กลีบดอกและกลีบรองกลีบดอกมีอย่างละ 5 กลีบ ผลแข็ง มีปีก 5 ปีก ยาว 3 ปีก สั้น 2 ปีก แต่ละปีกมีเส้นตามยาวปีก 10-15 เส้น
การขยายพันธุ์
นิยมใช้เมล็ดเพาะหรือจะใช้การตอนกิ่งหรือทาบกิ่ง แต่การตอนหรือทาบกิ่งนั้นเปอร์เซ็นต์การติดน้อยมาก

การปลูกในประเทศไทย
ผู้นำเอาต้นสาละหรือต้นซาลเข้ามาปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะปลูกไว้ตามวัดต่าง ๆ เช่น วัดพระเชตุพนฯ วัดบวรนิเวศน์ฯ และที่สวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี เป็นต้น มีประวัติการนำมาปลูกหลายครั้ง อาทิ
  • หลวงบุเรศบำรุงการนำมาถวายสมเด็จพระมหาวีรวงษ์ วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน โดยทรงปลูกไว้ที่หน้าพระอุโบสถ 2 ต้น กับได้น้อมเกล้าถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2510 อีก 2 ต้น ซึ่งทรงปลูกไว้ในพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน 1 ต้น และทรงมอบให้วิทยาลัยการเผยแพร่พระพุทธศาสนา ที่อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีอีก 1 ต้น
  • อาจารย์เคี้ยน เอียดแก้ว และอาจารย์เฉลิม มหิทธิกุล ได้นำต้นสาละมาปลูกไว้ในบริเวณคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน ที่ค่ายพักนิสิตวนศาสตร์ สวนสักแม่หวด อำเภองาว จังหวัดลำปาง
  • พระพุทธทาสภิกขุ ปลูกไว้ที่สวนโมกข์ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
  • และนายสวัสดิ์ นิชรัตน์ ผู้อำนวยการกองบำรุง ได้นำต้นสาละมาปลูกไว้ในสวนพฤกษศาตร์พุแค จังหวัดสระบุรี

ความเข้าใจเกี่ยวกับต้นสาละหรือซาล
ชาวไทยอาจจะยังค่อนข้างสับสนกันอยู่ เช่น เข้าใจว่าต้นสาละ เป็นต้นเดียวกันกับต้นรัง ที่มีชื่อทางพฤกษศาตร์ว่า Shorea siamensis Miq. เพราะรูปร่างและขนาด ของใบคล้ายคลึงกันมาก ประกอบกับต่างก็ชอบขึ้นเป็นหมู่ด้วยเช่นกัน แต่รังของไทยผิวใบไม่เป็นมัน พื้นผิว ค่อนข้างเรียบ บางสายพันธุ์ยังมีขนตามผิวใบ กับพอใบแก่จัดก่อนร่วงยังกลายเป็นสีแดงอิฐเสียอีกด้วยบางทีก็เข้าใจว่าต้นลูกปืนใหญ่หรือแคนนอลบอล ที่มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Couroupita guianensis Aubl. เพราะมีผู้นำต้นไม้ชนิดนี้มาจากประเทศลังกา และได้รับการบอกเล่าจากทางลังกาว่าเป็นต้นสาละ แต่พันธุ์ไม้ดังกล่าวจะมีช่อดอกออกตามลำต้น ดอกโตขนาดถ้วยแกง และมีผลกลม โต ขนาดผลส้มโอย่อมๆ

ต้นไม้ในพุทธประวัติ
สาละ หรือ ซาล เป็นไม้ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธองค์ตั้งแต่ทรงประสูติจนถึงปรินิพพาน โดยที่พุทธมารดาคือพระนางสิริมหามายา เมื่อใกล้กำหนดจะให้พระประสูติการก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไป ยังกรุงเทวทหนคร อันเป็นเมืองต้นตระกูลของพระนาง (ตามธรรมเนียมพราหมณ์ ผู้หญิงเมื่อจะคลอดบุตร ต้องกลับไปคลอดที่บ้านของพ่อแม่ตน) ในระหว่างทางพระนางได้ทรงหยุดพักบริเวณป่าแห่งหนึ่ง ใต้ร่มต้นสาละ เขตตำบลลุมพินีสถาน พระนางทรงเจ็บพระครรภ์ จึงใช้ร่มของต้นสาละ ณ ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ประสูติ
สาละ เกี่ยวข้องกับพระพุทธประวัติโดยที่พระพุทธองค์ได้เสด็จไปถึงยังเมืองกุสินาราของมัลละกษัตริย์ ได้ประทับในบริเวณสาลวโณทยาน ภายใต้ร่มต้นสาละคู่หนึ่ง ทรงเหน็ดเหนื่อยพระวรกายมาก จึงรับสั่งให้พระอานนท์ ซึ่งเป็นองค์อุปัฏฐากปูลาดที่บรรทมเอนพระวรกายลงโดยหันพระเศียรไปทางทิศเหนือ แล้วเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพานภายใต้ต้นสาละนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม

สวนแนวตั้ง VERTICAL GARDEN

Landscape รูปแบบใหม่
จากปัญหาสภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ทำให้มีความตระหนักและตื่นตัวในการเพิ่มพื้นที่สีเขียว มีการรณรงค์ให้ปลูกต้นไม้กันมากยิ่งขึ้น เพื่อช่วยเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ ดูดซับ กรองฝุ่น ควัน และมลพิษต่างๆ ในอากาศ เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนของสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย รวมทั้งเพิ่มทัศนียภาพที่สวยงามให้กับพื้นที่โดยรอบ ทำให้สวนแนวตั้ง Vertical Garden ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ที่มีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด

อ่านเพิ่มเติม

ลิ้นมังกร

วันจันทร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552



ลิ้นมังกร
ชื่อสามัญ Mather - in - law's Tongue
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sancivieria.
ตระกูล AGAVACEAE
ถิ่นกำเนิด แถบทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ
ต้นลิ้นมังกรเป็นพืชที่ปลูกง่ายและทนทาน สามารถอยู่ในที่ร่มในบ้านได้ดี เหมาะสำหรับผู้ที่เริ่มต้นปลูกไม้ประดับในอาคาร มีพันธุ์ให้เลือกปลูกได้มากถึงประมาณ 70 ชนิด เป็นต้นไม้ที่ชาวไทยรู้จักกันดีและนิยมปลูกกันอยู่ทั่วไป พันธุ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุด คือ ลิ้นมังกรขอบใบเหลือง Sansevieria Trifasciata เนื่องจากมีสีสดใสและมีขอบใบเหลือง ทำให้ดูสวยงามกว่าพันธุ์อื่น สามารถปลูกโดยไม่ต้องใช้ดิน ชาวจีนสมัยก่อนนิยมนำมาปักหรือปลูกในแจกัน ปัจจุบันยังเป็นที่นิยมปลูกกันมากในต่างประเทศอีกด้วย
ลักษณะทั่วไป
ลิ้นมังกรเป็นพรรณไม้ ที่มีลำต้นเป็นหัวหรือเหง้าอยู่ในดิน ลำต้นมีลักษณะเป็นข้อ ๆ ส่วนใบเกิดจากหัวที่โผล่ออกมาพ้นดินเป็นกอ ใบมีลักษณะยาว 30-50 เซนติเมตร กว้างประมาณ 4-7 เซนติเมตร แข็งเป็นมัน มีปลายแหลม โค้งงอเล็กน้อย ขอบใบเรียบและมีสีเหลือง กลางใบสีเขียวอ่อน มีเส้นประสีเขียวเข้ม ก้านดอกประกอบด้วยกลุ่มดอกเป็นชั้น ๆ ดอกมีขนาดเล็ก สีขาว มีกลีบประมาณ 5 กลีบ ดอกบานเต็มที่จะมีขนาด 2 เซนติเมตร เรียงกันเป็นแนวตามชั้นของก้านดอก ขนาดใบ และสีสัน จะแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
การปลูก มี 2 วิธี
1. การปลูกเพื่อประดับบริเวณบ้านและสวน นิยมปลูกในแปลงปลูก หรือปลูกเป็นแนวรั้วบ้านตามแบบโบราณ ขนาดหลุมปลูก 30 x 30 x 30 เซนติเมตร ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก : ดินร่วน : อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก
2. การปลูกเพื่อประดับภายในและภายนอกอาคาร มักปลูกในกระถาง ควรใช้กระถางทรงสูง ขนาด 10-15 นิ้ว ใช้ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยหมัก : ดินร่วน อัตรา 1 : 1 ผสมดินปลูก และควรเปลี่ยนกระถางทุก 1-2 ปี เพราะเนื่องจากการขยายตัวของรากและหน่อและเพื่อเปลี่ยนดินปลูกใหม่แทนดินปลูกเดิมที่เสื่อมสภาพไป
การดูแลรักษา
แสงแดด : ต้นลิ้นมังกรต้องการแสงแดดปานกลาง จนถึงแสงแดดจัด หรือกลางแจ้ง
น้ำ : ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง ควรให้น้ำ 5-7 วัน/ครั้ง
ดิน : ใช้ดินร่วนซุย ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/กอ ปีละ 4-5 ครั้ง
การขยายพันธุ์ : แยกหน่อหรือตัดชำใบ
โรคและแมลง : ไม่ค่อยพบโรคและแมลงที่ก่อให้เกิดปัญหา

อ่านเพิ่มเติม

 
 
Copyright © abczaa...