About Me
- abczaa
- เว็บบล็อกนี้ จัดทำขึ้นเพื่อเป็นอีกหนึ่งแหล่งรวมเรื่องราวไลฟ์สไตล์ในหลากหลายแง่มุมของคนรุ่นใหม่ ทั้งด้านการท่องเที่ยว การพักผ่อน การตกแต่ง บ้านและสวน สุขภาพ รวมถึงเทคโนโลยี ตลอดจนแนวคิด และปรัชญาชีวิต พร้อมทั้งเรื่องราวต่างๆ หลากหลาย ที่บรรจงถ่ายทอดผ่านบทความที่น่าสนใจ ขอเชิญชวนทุกท่านร่วมเป็นส่วนหนึ่งของความซ่า...ด้วยการติดตามผลงาน และร่วมเสนอแนะความคิดเห็น เป็นกำลังใจให้กัน และอย่าลืมสมัครสมาชิก พร้อมซ่า...ไปด้วยกันทุกที่กับ...abczaa...ความซ่าไม่มีขีดจำกัด
Labels
- กีฬา (3)
- แง่คิดดีๆ (5)
- ชมสวน (4)
- ชวนท่องเที่ยว (2)
- ดูแลสุขภาพ (5)
- เทคโนโลยี (3)
- บ้านสวย (1)
- เรื่องน่ารู้ (5)
- สัพเพเหระ (4)
- อาหารคุณภาพ (3)
พยากรณ์อากาศ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ ที่มีข้อดีในการช่วยอำนวยความสะดวกหลายอย่าง จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตอย่างชนิดที่ไม่มีใครคิดหลีกหนี เช่นนี้แล้วจะมีใครรู้ถึงอันตรายในอีกรูปแบบหนึ่งที่แฝงมากับคอมพิวเตอร์ด้วยหรือไม่?
เขียนโดย abczaa ที่ 03:01 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เรื่องน่ารู้
ข้อดีของหมากฝรั่ง
หลายท่านอาจเห็นว่า หมากฝรั่งนั้นสร้างความเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน กำจัดยาก เคี้ยวแล้วก็หาที่ทิ้งลำบาก หากติดเสื้อผ้ารองเท้า กระเป๋า ผมเผ้า หรือสิ่งใดๆ ก็ตามที ล้วนเป็นปัญหาที่ยากยิ่งในการทำความสะอาด ขจัดคราบ แถมใครเคี้ยวหมากฝรั่งยังอาจถูกมองว่าเป็นผู้มีมารยาทไม่งาม ไม่เรียบร้อย หรือไม่เหมาะสม ก็อาจเป็นไปได้
แต่ข้อดีของหมากฝรั่งก็มีอยู่ และแถมเป็นข้อดีที่ใครได้ทราบแล้วคงอยากเคี้ยว นั่นก็คือ การเคี้ยวหมากฝรั่ง ช่วยให้ความจำดี จากผลการวิจัย ที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Appetite มิถุนายน 2002 พบว่า การเคี้ยวหมากฝรั่งช่วยเพิ่มการเต้นของหัวใจ ทำให้เลือดสูบฉีดไปเลี้ยงสมองมากขึ้น และนอกจากนี้ ยังกระตุ้นการผลิตอินซูลิน ทำให้เซลล์สมองเปิดรับกลูโคสจากกระแสเลือดมาเลี้ยงสมองส่วนที่เป็นความจำได้มากขึ้น ด้วยเหตุนี้ คนที่เคี้ยวหมากฝรั่ง จึงมีความจำดีกว่าคนที่ไม่เคี้ยวหมากฝรั่ง
เขียนโดย abczaa ที่ 03:15 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เรื่องน่ารู้
4 วิธีออกกำลังกาย ช่วยบริหารสมอง
สมองของคนเราประกอบด้วยเซลล์ประสาทมากมาย ซึ่งต้องการแรงกระตุ้นให้ออกกำลัง แต่การออกกำลังกายจนเหงื่อออก มิใช่เป็นวิธีเดียวในการบริหารสมอง นายลอเรนซ์ คาท์ซ นักชีวประสาท มหาวิทยาลัยดุ๊ก ผู้เขียนหนังสือ Keep your brain alive ได้เสนอแนะวิธีการออกกำลังกายที่ช่วยในการบริหารเซลล์สมองไว้ 4 วิธี คือ อย่าออกกำลังกายแบบซ้ำซาก
ถ้าคุณเคยชินกับการวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า ที่ตั้งไว้ที่เดิมไม่เคลื่อนย้ายเปลี่ยนแปลงไปไหน ควรเปลี่ยนมาวิ่งแบบวิ่งจริงๆ บนถนนหนทาง หรือวิ่งในสวน หรือ วิ่งตามสวนสาธารณะบ้าง และควรมีการปรับเปลี่ยนเส้นทางวิ่งบ่อยๆ ไม่ใช้เส้นทางเดิมๆ ซ้ำๆ จำเจอยู่อย่างนั้น
หัดเล่นกีฬาชนิดใหม่ๆ
การหัดเล่นกีฬาชนิดใหม่ๆ การทำตัวเป็นนักเรียน พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอนั้น ช่วยกระตุ้นเซลล์สมองได้เป็นอย่างดี เช่น ถ้าว่ายน้ำเป็นแล้ว ก็อาจหัดเล่นตีกอล์ฟบ้าง เล่นเทนนิส หรือแบดมินตัน บ้าง หัดเต้นแอโรบิก หัดเต้นรำ บ้าง คือ หัดออกกำลังกายในรูปแบบอื่นๆ จากที่เคยทำอยู่บ้าง นั่นเอง
เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม
การออกไปใช้ชิวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคย เช่น ออกไปเที่ยวทะเล ไปเล่นน้ำตก ไปปีนเขา ไปเดินป่า เป็นต้น การเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ เป็นครั้งคราวในชีวิต จะช่วยทำให้สมองตื่นตัว เพราะต้องตัดสินใจอะไรมากขึ้น ทำให้เซลล์ประสาทสมองได้ออกกำลังไปโดยอัตโนมัติ
หาเพื่อน
หากไม่ได้ทำอะไรใหม่ๆ เลยในชีวิต ก็ควรหาเพื่อนใหม่ๆ บ้าง ปฏิกิริยาทางสังคม มีผลดีต่อการพัฒนาสมองเป็นอย่างมาก ถ้าหาเพื่อนใหม่ๆ ยังไม่ได้ ก็อาจชวนเพื่อนเก่า ไปวิ่งจ๊อกกิ้งด้วยกัน แค่นี้ก็อาจได้เจอเพื่อนใหม่ แล้วคราวนี้ก็ชวนทั้งเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ไปออกกำลังกายด้วยกัน ได้ทั้งสังคม ได้ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพสมองที่ดี
ลงทุนง่ายๆ เพียงแค่นี้ ได้แต่ได้ผลดีเกินคุ้มจริงๆ ฝากเพื่อนๆ ลองนำไปปฏิบัติใช้ดู แต่ถ้าไม่รู้จะนึกถึงใคร ก็แวะเวียนมาเยี่ยมชม abczaa บ่อยๆ ก็ได้ แค่นี้ก็มีข้อมูลน่ารู้น่าสนใจให้เลือกอ่านกันไม่รู้เบื่อแล้วล่ะ!!!
เขียนโดย abczaa ที่ 02:34 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เรื่องน่ารู้
เทคนิคการขับขี่รถให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง
ทุกวันนี้ดูท่าว่าพลังงานน้ำมันจะมีการขยับปรับราคาสูงขึ้นๆๆ อย่างต่อเนื่อง เมื่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงมีการขึ้นราคาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเช่นนี้ หากเราไม่สามารถหยุดหรือเลิกใช้น้ำมันได้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าการประหยัด เพราะเป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้เราได้สบายใจสบายเงินในกระเป๋ากันมากขึ้น
สุดยอดวิธีการขับขี่รถยนต์แบบประหยัดน้ำมัน สามารถทำได้ง่ายๆ ดังนี้
1. ขณะสตาร์ทรถ ไม่เปิดเครื่องปรับอากาศ ไฟหน้ารถ และเครื่องเสียง จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้น เปลืองน้ำมัน 10% ประมาณ 29%- ความเร็ว 100 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 10%- ความเร็ว 110 ก.ม./ช.ม. จะสิ้นเปลืองน้ำมั่นกว่า 90 ก.ม./ช.ม. ประมาณ 25%
เขียนโดย abczaa ที่ 07:42 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เรื่องน่ารู้
คาลิล ยิบราน KHALIL GIBRAN
คาลิล ยิบราน เกิดที่ Bechari ประเทศเลบานอน ในปี ค.ศ.๑๘๘๓ ตายที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. ๑๙๓๑ เป็นกวี นักเขียน และศิลปินที่ได้รับสมญานามว่า "วิลเลียมเบลคแห่งศตวรรษที่ ๒๐" บิดามารดาของยิบรานเป็นผู้มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี ตระกูลทางมารดาได้ชื่อว่าเก่งดนตรีที่สุดในหมู่บ้าน ยิบรานได้แสดงฝีมือทางวาดเขียน ก่อสร้าง ปั้น และแต่เรียงความมาตั้งแต่เยาว์วัย เมื่ออายุ ๘ ปี ก็สนใจและเข้าใจซาบซึ้งในงานของไมเคิล แอนเยลโลและเลโอนารโดดารวินชิ ในปี ๑๘๙๕ ครอบครัวของเขาได้เดินทางไปตั้งรกรากยังสหรัฐอเมริกา แต่เมื่ออายุได้สิบสี่ปีครึ่ง ยิบรานก็เดินทางกลับมายังเลบานอนและเข้าเรียนในสถานศึกษาภาษาอาหรับของซีเรีย ต่อมาเขาได้เดินทางไปศึกษาศิลปะกับโรแดง ( Rodin) ปฏิมากรชาวฝรั่งเศสที่ Ecole des Beaux Arts ในกรุงปารีส ในปี ค.ศ. ๑๙๑๒ ยิบรานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกาและพำนักอยู่ในกรุงนิวยอร์ค และที่นั่นเอง เขาก็ได้ริเริ่มก่อตั้งสมาคมนักเขียนชาวอาหรับ (Arabic P.E.N. Club) และได้เป็นนายกของสมาคมด้วย
งานประพันธ์ของยิบรานได้มีอิทธิพลจูงใจคนรุ่นหลังมาก ทั้งผู้ใช้ภาษาอาเรบิคในประเทศอาหรับและในอเมริกา ตลอดทั้งยุโรป เอเชีย ตั้งแต่ประเทศจีนถึงสเปน งานชิ้นแรกๆ ของยิบราน เป็นบทเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ งานเหล่านั้นแสดงทัศนะเห็นแจ้งในธรรมะ ความงดงามในท่วงทำนอง และแนวใหม่ที่จะเข้าแก้ปัญหาของชีวิต ยิบรานเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนของเขาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี งานชิ้นที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ ชิ้นที่ชื่อ "THE PROPHET" ซึ่งกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ด้วยกัน งานชิ้นนี้ได้ถูกแปลถ่ายทอดเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่าสิบสามภาษา อ่านกันแพร่หลายอย่างยิ่งทั่วโลก ยิบรานได้บรรจุหลักสัจธรรมไว้ด้วยสำนวนกวีอ่านง่ายแต่ไพเราะ เข้าถึงชนทุกชั้น นับเป็นทั้งบทกวี ปรัชญาและธรรมะ พร้อมกันไปในตัว บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมากได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้นนี้เป็นเสมือนประทีป นำแนวทางแห่งการดำรงชีวิต ทั้งนี้เพราะสัจธรรมนั้นเป็นของกลาง แม้ว่าจะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้เป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไปไม่ว่าชาติ ภาษา หรือลัทธิใด ศาสนาใด
ข้าพเจ้าแปลงานชิ้นนี้เป็นภาษาไทย ตั้งแต่ราว พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้คัดบางส่วนลงพิมพ์ในที่หลายแห่ง ต้นฉบับแปลสมบูรณ์หายไปในระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๗ - ๘ จึงได้แปลใหม่อีกครั้งหนึ่ง ตัวอัลมุสตาฟาในเรื่องตอบปัญหาหลักธรรมถึง ๒๖ หัวข้อด้วยกัน ล้วนบรรจุข้อปรัชญาอันลึกซึ้งและไพเราะด้วยลีลากวีไว้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าได้พยายามถ่ายทอดความไพเราะของต้นฉบับเดิมออกมาอย่างเต็มที่แล้ว เชื่อว่าท่านที่สนใจคงจะได้รับรสและความซาบซึ้งจากฉบับแปลนี้ตามสมควร
ระวี ภาวิไล มีนาคม ๒๕๐๔
เขียนโดย abczaa ที่ 07:43 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: เรื่องน่ารู้